อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องรู้ถึงความต่างระหว่างภาษา ตอนที่ 2

จากครั้งที่แล้วที่ได้กล่าวถึงความต่างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทยวันนี้มาว่ากันต่อครับ ความต่างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทยอันดับต่อไปคือ

1 ภาษาอังกฤษโดยทั่วไปประธานจะเปลี่ยนรูปไปตามจำนวนทำให้กริยาเปลี่ยนรูปตามไปด้วย (ภาษาไทยไม่มีลักษณะนี้) ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะพูดว่า

หนังสือเล่มนี้เป็นของฉัน

กับ

หนังสือเหล่านี้เป็นของฉัน

เราจะเห็นได้ว่าคำว่า “หนังสือเล่มนี้” ซึ่งเป็นประธานและคำว่า “เป็น” ซึ่งเป็นคำกริยาในประโยคนี้ในภาษาไทยจะไม่เปลี่ยนรูปไม่ว่าประธานซึ่งก็คือหนังสือจะมีกี่เล่มก็ตาม ในภาษาไทยจะเปลี่ยนก็แต่เฉพาะคำคุณศัพท์ที่ขยายนามแต่คำว่า ”หนังสือ” ก็ยังสะกดด้วยพยัญชนะเดิมและจำนวนพยางค์ก็เท่าเดิม ส่วนคำกริยา เป็น ก็ไม่เปลี่ยนรูปแต่อย่างใดแต่ลองมาดูความต่างในภาษาอังกฤษกันครับ

This book is mine.
ดิส บุค อิซ ไมนฺ
(หนังสือเล่มนี้เป็นของฉัน)

These books are mine.
ดีซ บุคสฺ อารฺ ไมนฺ
(หนังสือเหล่านี้เป็นของฉัน)

เราจะเห็นได้ว่าประธานคำว่า “หนังสือเล่มนี้” ในภาษาอังกฤษ คือ "this book" ในประโยคแรกไม่มี s ที่ท้ายคำแต่ในประโยคที่สองเมื่อเป็นหนังสือหลายเล่มก็จะมีการเติม s ท้ายคำว่า "book" ส่วนกริยาคำว่า “เป็น” ซึ่งในภาษาอังกฤษได้แก่ v. to be จะเปลี่ยนไปตามจำนวนของประธาน ประโยคแรกหนังสือเล่มเดียวจะใช้กริยา "is"ประโยคที่สองหนังสือหลายเล่มเปลี่ยนมาใช้กริยา "are"

ความแตกต่างที่เห็นได้จะประโยคตัวอย่างด้านบน
1.ภาษาอังกฤษเมื่อประธานเป็นพหูพจน์ต้องเติม s, es, sh, ss ฯลฯ แล้วแต่กรณีที่ท้ายคำที่เป็นประธานซึ่งก็คือคำนาม(หรือเปลี่ยนรูปไปเลย ติดตามคำอธิบายในบทต่อๆไปที่เกี่ยวกับเรื่องการเติมท้ายคำ) ดังตัวอย่างประโยคที่หนึ่ง

2. เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ก็จะมีการเติม s ที่ท้ายคำกริยาและเมื่อประธานเป็นพหูพจน์ก็จะไม่มีการเติม s ที่ท้ายคำกริยา

น่าปวดหัวไหมครับแต่อย่าเพิ่งเบื่อภาษาอังกฤษนะครับผมจะมีเคล็ดลับการจำให้ในบทต่อไปรับรองว่าไม่ยากหรอกครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความครั้งต่อไปครับ

บทความก่อนหน้า

ความคิดเห็น