ในฐานะที่เราเป็นคนไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาแม่หากเราอยากเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆเราต้องทำความเข้าใจถึงความต่างของภาษาแม่กับภาษาที่เราจะเรียนก่อน ต้องรู้และทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งว่ามีความต่างกันอย่างไรบ้างเราถึงจะเรียนภาษาอีกภาษาหนึ่งหรืออีกหลายภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจมากขึ้น เราลองมาดูความต่างระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษกันดีกว่าครับ
ความต่างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทย
ความต่างระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทย
1. สำหรับภาษาอังกฤษคำกริยาจะผันเปลี่ยนไปตามประธานและกาลเวลา หรือที่เราเรียกว่ากริยาสามช่อง ได้แก่รูปอดีต รูปปัจจุบัน และรูปอนาคต ซึ่งภาษาไทยไม่มีลักษณะนี้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะพูดว่า
1.1เมื่อวานเขากินมะม่วงไปสองลูก
กับ
1.2 วันนี้ฉันเพิ่งกินมะม่วงไปสองลูก
เราจะเห็นว่าในภาษาไทยคำกริยา “กิน” จะเป็นรูปเดียวกันทั้งสองประโยคคือไม่ว่าจะกินเมื่อไหร่ วันไหน ก็ใช้คำว่า กิน รูปเดิม แต่เราลองมาดูภาษาอังกฤษกันครับ
1.1 Yesterday, he ate two mangoes.
เย็สเทอเดยฺ ฮี เอท ทู แมงโกสฺ
(เมื่อวานเขากินมะม่วงไปสองลูก)
เย็สเทอเดยฺ ฮี เอท ทู แมงโกสฺ
(เมื่อวานเขากินมะม่วงไปสองลูก)
1.2 Today, I have just eaten two mangoes.
ทูเดยฺ ไอ แฮฟวฺ จัสทฺ อีททึน ทู แมงโกสฺ
(วันนี้ฉันเพิ่งกินมะม่วงไปสองลูก)
1.3 I am eating two mangoes.
ไอ แอม อีทติง ทู แมงโกสฺ
(ผมกำลังกินมะม่วงสองลูก)
1.4 I usually eat mangoes in the afternoon.
ไอ ยูสชวลลิ อีท แมงโกสฺ อิน ดิ อาฟเทอะนูน
(ผมมักกินมะม่วงตอนบ่าย)
ทูเดยฺ ไอ แฮฟวฺ จัสทฺ อีททึน ทู แมงโกสฺ
(วันนี้ฉันเพิ่งกินมะม่วงไปสองลูก)
1.3 I am eating two mangoes.
ไอ แอม อีทติง ทู แมงโกสฺ
(ผมกำลังกินมะม่วงสองลูก)
1.4 I usually eat mangoes in the afternoon.
ไอ ยูสชวลลิ อีท แมงโกสฺ อิน ดิ อาฟเทอะนูน
(ผมมักกินมะม่วงตอนบ่าย)
เราจะเห็นว่าคำว่ากินซึ่งก็คือ eat=อีท ในภาษาอังกฤษนั้นจะเปลี่ยนไปตามประธานและกาลเวลา กล่าวคือในประโยคที่ 1.1 จะเปลี่ยนไปเป็น ate=เอท
ส่วนในประโยคที่ 1.2 จะเปลี่ยนไปเป็น eaten=อีททึน นอกจากนี้ยังมีคำว่า have เพิ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคำกริยาอีกหนึ่งคำ
ประโยคที่ 1.3 กริยา eat ก็จะเปลี่ยนเป็น eating เพื่อบอกให้รูว่ากำลังกินอยู่ การกระทำลักษณะดังกล่าวในภาษาไทยก็จะเติมคำว่า "กำลัง" ไว้หน้าคำว่า "กิน"
ประโยคที่ 1.4 คำว่า "eat" ก็จะอยู่ในรูปปกติแต่จะมีคำว่า "usually" เพิ่มเข้ามา ซึ่งหมายถึง มักจะทำในเวลาดังกล่าวเป็นประจำ
เหล่านี้คือความต่างที่เราสามารถสังเกต มองเห็นและเข้าใจได้ง่ายๆ ระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทย ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวและคำที่แตกต่างกันหรือที่เพิ่มเข้ามาและถูกตัดทอนออกไป ล้วนมีความหมายกับแต่ละประโยคทั้งสิ้น เพื่อบ่งบอกถึงความแตกต่างว่าเวลาไหนจะพูดอย่างไรหรือจะเพิ่มดัดแปลง หรือตัดคำไหนออกบ้าง นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราต้องรู้และต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งก่อนที่จะเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูงต่อไป
ส่วนในประโยคที่ 1.2 จะเปลี่ยนไปเป็น eaten=อีททึน นอกจากนี้ยังมีคำว่า have เพิ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคำกริยาอีกหนึ่งคำ
ประโยคที่ 1.3 กริยา eat ก็จะเปลี่ยนเป็น eating เพื่อบอกให้รูว่ากำลังกินอยู่ การกระทำลักษณะดังกล่าวในภาษาไทยก็จะเติมคำว่า "กำลัง" ไว้หน้าคำว่า "กิน"
ประโยคที่ 1.4 คำว่า "eat" ก็จะอยู่ในรูปปกติแต่จะมีคำว่า "usually" เพิ่มเข้ามา ซึ่งหมายถึง มักจะทำในเวลาดังกล่าวเป็นประจำ
เหล่านี้คือความต่างที่เราสามารถสังเกต มองเห็นและเข้าใจได้ง่ายๆ ระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาไทย ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวและคำที่แตกต่างกันหรือที่เพิ่มเข้ามาและถูกตัดทอนออกไป ล้วนมีความหมายกับแต่ละประโยคทั้งสิ้น เพื่อบ่งบอกถึงความแตกต่างว่าเวลาไหนจะพูดอย่างไรหรือจะเพิ่มดัดแปลง หรือตัดคำไหนออกบ้าง นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราต้องรู้และต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งก่อนที่จะเรียนภาษาอังกฤษในระดับสูงต่อไป
บทความถัดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น